PwC เผยผลสำรวจพบผู้นำภาคธุรกิจเล็งเพิ่มการลงทุนในเอเชียแปซิฟิก แม้เผชิญอุปสรรคกำแพงการค้าที่สูงขึ้น

0
210
image_pdfimage_printPrint

– 1 ใน 3 ของผู้นำภาคธุรกิจที่ PwC สำรวจความเห็น (37%) ระบุว่า ระบบอัตโนมัติที่ทันสมัยขึ้น และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นภารกิจสำคัญเชิงกลยุทธ์อันดับหนึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้า

– ผู้นำภาคธุรกิจกว่า 80% ในภูมิภาคนี้เตรียมเพิ่มงบด้านพัฒนาทักษะ

– ผู้นำภาคธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกเรียกร้องให้มีกฎระเบียบควบคุม AI ไซเบอร์ และข้อมูลมากขึ้นเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่น

บรรดาผู้นำภาคธุรกิจทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เผชิญกับอุปสรรคที่ขัดขวางการทำธุรกิจข้ามพรมแดนในปีนี้มากกว่าที่พวกเขาเคยคาดไว้ และพวกเขาคาดว่าจะเผชิญกับอุปสรรคในระดับเดียวกันนี้ในปีหน้า และยังคาดว่าจะมีความท้าทายมากขึ้นในปีหน้า โดย 25% คาดว่าจะมีความท้าทายมากขึ้นในการจ้างแรงงานต่างชาติ, 26% ระบุถึงความท้าทายเพิ่มขึ้นในการให้หรือรับบริการข้ามพรมแดน และ 24% ระบุว่า การย้ายข้อมูลจะมีความท้าทายมากขึ้นอีกในปี 2020

ผลสำรวจดังกล่าวได้มาจากรายงานล่าสุดของ PwC ที่สำรวจความเห็นผู้นำภาคธุรกิจกว่า 1,000 คน จากสมาชิกกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ทั้ง 21 ประเทศ

ผู้นำภาคธุรกิจยังส่งสาส์นที่ชัดเจนถึงผู้กำหนดนโยบายในเอเชียแปซิฟิกด้วย โดยเมื่อถามว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายใดที่มีผลกระทบมากที่สุดต่อความสามารถในการขยายธุรกิจของพวกเขา ผู้นำภาคธุรกิจจำนวน 44% ตอบว่า การลดภาษีนำเข้าหรือการยุติสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะเป็นประโยชน์มากที่สุด

แม้มีความวิตกเรื่องภาษีนำเข้า และสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน แต่ผู้นำภาคธุรกิจยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มสำหรับองค์กรของพวกเขา โดยผู้นำ 34% “รู้สึกมั่นใจมาก” ต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้ในปีหน้า ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงจาก 35% ในปี 2018

เวียดนามยังคงติดอันดับหนึ่งประเทศที่มีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่ออสเตรเลียตามมาเป็นอันดับ 2 และสิงคโปร์อยู่ในอันดับ 3 ส่วนจีนและสหรัฐไม่ติด 3 อันดับแรก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2015 ที่ PwC เริ่มทำการวิเคราะห์เป้าหมายการลงทุนในอนาคตสุทธิข้ามชายแดนในเอเชียแปซิฟิก

“สภาวะทางการค้าที่ไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อความน่าสนใจของสหรัฐและจีนในผลสำรวจปีนี้” บ็อบ มอริทซ์ ประธาน PwC กล่าว “ขณะที่ประเทศต่าง ๆ อย่างเวียดนามและออสเตรเลียกำลังได้รับประโยชน์ เมื่อบริษัทต่าง ๆ เริ่มทบทวนฟู้ตปริ้นท์ของพวกเขาใหม่ และพิจารณาใกล้ชิดถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากกฎการค้าใหม่”

แต่ก็มีข่าวดีพอสมควรเกี่ยวกับผลกระทบต่อการจ้างงานจากระบบอัตโนมัติ โดยธุรกิจ 36% กำลังสร้างงานอันเป็นผลจากระบบอัตโนมัติมากกว่าการลดจำนวนพนักงาน (24%) แต่ส่วนต่างดังกล่าวลดลงจากปีที่แล้ว และธุรกิจมากขึ้นระบุว่า พวกเขาจะปรับเปลี่ยนบทบาทและความรับผิดชอบใหม่อันเป็นผลจากระบบอัตโนมัติ

ขณะที่ผู้นำทางธุรกิจกำลังสร้างงานมากขึ้นนั้น แต่พวกเขาก็ประสบปัญหาในการหาพนักงานด้วย โดย 23% ระบุว่า พวกเขาพบว่า การสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถที่พวกเขาต้องการนั้นเป็นเรื่องยาก และด้วยอุปสรรคมากขึ้นที่ขัดขวางการเคลื่อนย้ายแรงงานในตลาดบางประเทศ ผู้นำภาคธุรกิจจึงเพิ่มการลงทุนในการพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานของตนเอง โดย 86% ระบุว่า จะเพิ่มงบประมาณที่จัดสรรไว้เพื่อการพัฒนาทักษะในระบบดิจิทัลในปีหน้า

“การจัดหาทักษะเพื่อรับรองว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ ขณะที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามาปฏิรูปโฉมใหม่ให้กับสถานที่ทำงานนั้น เป็นหนึ่งในความท้าทายใหญ่ที่สุดที่เรากำลังเจอ” บ็อบ มอริทซ์ กล่าว “ภาคธุรกิจ ผู้กำหนดนโยบาย องค์กรพัฒนาเอกชน และผู้สอน ต้องมารวมตัวกัน ขณะที่เราเตรียมที่จะพัฒนาทักษะบุคลากรเป็นจำนวนมากในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงภาครัฐ ภาคเอกชน และเอเชียแปซิฟิกทั้งภูมิภาค”

กฎระเบียบและความไว้วางใจ: ผลสำรวจฉบับนี้ยังพบว่า ผู้นำภาคธุรกิจส่วนใหญ่ในเอเชียแปซิฟิกระบุว่า จำเป็นต้องมีกฎระเบียบเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชนในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (72%), ความมั่นคงไซเบอร์ (76%) และความเป็นส่วนตัว (70%)

“ผู้นำทางธุรกิจไม่ได้เรียกร้องกฎระเบียบมากขึ้นบ่อยนัก แต่บริษัทต่าง ๆ เริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงต่อแผนการลงทุนของพวกเขา และความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อธุรกิจ จากนโยบายที่ไม่สอดคล้องกัน หรือไม่มีประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ อาทิ AI ความมั่นคงทางไซเบอร์ และการรักษาความเป็นส่วนตัว” บ็อบ มอริทซ์ กล่าว

“เนื่องจากกฎระเบียบควบคุม AI ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น จึงมีโอกาสอย่างแท้จริงสำหรับผู้กำหนดนโยบายทั่วเอเชียแปซิฟิก ที่จะพัฒนามาตรฐานที่สนับสนุนการสร้างนวัตกรรม แต่ก็ส่งเสริม AI ที่ครอบคลุมและรับผิดชอบไปด้วย บัดนี้ถึงเวลาดำเนินการแล้ว และเราต้องทำให้มั่นใจว่า นโยบาย AI ที่แยกส่วนกันนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคดิจิทัลใหม่ที่ขัดขวางความก้าวหน้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

ผู้นำภาคธุรกิจมองว่า ในระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยี AI ที่ก้าวหน้านั้น พวกเขาเล็งเห็นความจำเป็นที่ต้องจัดการในทันทีเรื่องกรอบนโยบายที่ประสานกัน โดยผู้นำภาคธุรกิจจำนวน 37% ทั่วเอเชียแปซิฟิกระบุว่า AI และระบบอัตโนมัติเป็นภารกิจสำคัญในระดับ C-suite สำหรับพวกเขา ขณะที่อีก 49% ระบุว่า เป็นภารกิจสำคัญในระดับแผนก หรือระดับ IT แต่มีผู้นำทางธุรกิจเพียง 12% ในเอเชียแปซิฟิกที่มองว่า AI และระบบอัตโนมัติไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับธุรกิจของพวกเขาในอีก 2 ปีข้างหน้า

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ:

ดูรายงานฉบับเต็มในหัวข้อ “Doing business across borders in Asia Pacific 2019-2020” ได้ที่ www.pwc.com/apec

PwC สำรวจความเห็นผู้นำภาคธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกจำนวน 1,014 คน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม 2019

ติดตามเราได้ทางทวิตเตอร์: @PwC

เกี่ยวกับ PwC

ที่ PwC เป้าประสงค์ของเราคือการสร้างความไว้วางใจในสังคมและช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับลูกค้า เราเป็นเครือบริษัทใน 157 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 276,000 คน ที่ยึดมั่นในการส่งมอบบริการคุณภาพด้านการตรวจสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ และภาษี หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ที่ www.pwc.com

PwC หมายถึงเครือข่ายบริษัท PwC และ/หรือบริษัทสมาชิกหนึ่งบริษัทหรือหลายบริษัท โดยแต่ละบริษัทเป็นนิติบุคคลที่แยกกันชัดเจน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.pwc.com/structure

(C) 2019 PwC สงวนลิขสิทธิ์

ติดต่อ:
Mike Davies
โทร: +44-(0)7803-974136
อีเมล: mike.davies@pwc.com