เล็กซ์ซัส กรุงเทพ หวังรักษาแชมป์ดีลเลอร์เบอร์หนึ่ง เตรียมเจาะกลุ่มลูกค้ารถหรูด้วยซีดาน LS 460ระดับเฟิร์สคลาส 11 ล้านบาท อัดเป้าไตรมาสสุดท้ายดุเดือด ต้อนรับศักราชใหม่ 2013

0
263
image_pdfimage_printPrint

นายสกล ชีวมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เล็กซ์ซัส กรุงเทพ จำกัด (พระราม9) เปิดเผยว่า จากการที่ล่าสุด บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โดย เลกซัสกรุ๊ป ได้มีการเปิดตัว เลกซัส LS 460 ซึ่งเป็นซีดาน เฟิร์สคลาสราคา 11 ล้านบาท เข้าสู่ตลาดรถหรูนั้น ทางเล็กซ์ซัส กรุงเทพ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เลกซัสแห่งแรกในประเทศไทย และเป็นดีลเลอร์เลกซัสที่ประสบความสำเร็จที่สุดในตลาด ด้วยยอดจำหน่ายรถยนต์      เลกซัสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี คาดการณ์ว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีของกลุ่มฐานลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ซึ่งเป็นระดับพรีเมี่ยมและรักความสะดวกสบาย

นอกจากนี้นับเป็นครั้งแรกที่เลกซัส LS พร้อมทั้งมีเวอร์ชั่น F SPORT ด้วยภาพลักษณ์ใหม่ของยานยนต์หรูที่ให้อารมณ์การขับเคลื่อนแบบสปอร์ต ผสมผสานรูปแบบภายนอกที่ดุดันกับภายในโฉบเฉี่ยวเร้าใจปรับความสูงของระบบช่วงล่างลง 10 มม.พร้อมระบบ ดิสค์เบรคคู่หน้า Brembo แบบ 6 พอร์ต และแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย (Paddle Shift) พร้อมเสริมประสิทธิภาพด้วยเฟืองท้ายหลังแบบ Torsen Limited Slip ซึ่งยังคงมาตรฐานอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของรถยนต์เลกซัสที่ภายในห้องโดยสารมีความเงียบและสบายที่สุดในโลก เป็นผลจากการพัฒนาวัสดุดูดซับเสียงที่ช่วยขจัดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ พื้นถนน และลมปะทะ พร้อมอุปกรณ์ที่ดูดซับเสียงในห้องโดยสารตอนหน้า และปรับปรุงในรายละเอียดมากกว่า 3,000 จุด น่าจะเป็นจุดเด่นสำหรับนวัตกรรมยานยนต์ที่ตอบสนองได้อย่างลงตัวกับลูกค้ากลุ่มนี้ของบริษัทฯ อย่างแน่นอน

สำหรับจุดเด่นอื่นๆที่น่าสนใจของเลกซัส LS460 ได้แก่การนำหลอดไฟ LED มาใช้ในทุกจุด รวมถึงไฟตัดหมอกทรงแนวตั้งที่มาพร้อมเลนส์ PES (โพลิเอสเตอร์) ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดของโลก โดยระบบไฟหน้าที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่ในเวลากลางวัน รูปทรงตัวแอล (Daytime Running Lights) สะท้อนให้เห็นรูปแบบที่นำสมัย พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่ “Spindle Grille” เอกลักษณ์ใหม่แห่งดีไซน์ที่บ่งบอกความเป็นสุดยอดยนตรกรรมของเลกซัส มาพร้อมสมรรถนะอันทรงพลังจากเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.6 ลิตรพร้อมระบบปรับวาล์วแปรผัน Dual VVT-iE ให้กำลังสูงสุด 380 แรงม้า ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด รถยนต์เลกซัส LS ใหม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการรับรองมาตรฐานการปล่อยมลพิษยูโร ระดับ5 (EURO 5) ด้วยเทคนิคการเชื่อมตัวถังแบบใหม่ ทำให้โครงสร้างของเลกซัส LS ใหม่มีความแข็งแรง มั่นคงและยืดหยุ่น ให้ความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น ควบคู่กับการโช๊คอัพแบบแปรผันค่าความหนืด (Frequency Adaptive Damping) หรือ ระบบรองรับการสั่นสะเทือนแบบถุงลม (Adaptive Variable Suspension) ทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนดียิ่งขึ้น ระบบพวงมาลัยได้รับการปรับปรุงให้มีความแม่นยำและมีการตอบสนองรวดเร็วมากขึ้น ระบบเบรคที่ตอบสนองการเบรคในสถานะการณ์ฉุกเฉินได้รวดเร็วมากขึ้น แป้นเบรคให้สัมผัสที่ดีขึ้น รวมถึงโหมดการขับเคลื่อนที่สามารถเลือกได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ คือ ECO, COMFORT, NORMAL, SPORTS และ SPORT S+ ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เลกซัส LS ใหม่สมบูรณ์แบบด้วยประสิทธิภาพการขับเคลื่อนที่ดีเยี่ยม

 

 

 

การเปิดตัวรถรุ่นใหม่เลกซัส LS 460 สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ที่ต้องการความสมบูรณ์แบบนี้ ด้วยรุ่น LS460L ที่ดูหรูหรา รุ่น F-Sport ที่มีความสปอร์ตทั้งด้านรูปลักษณ์และสมรรถนะ ด้วยยอดขายทั่วโลกที่มากกว่า 730,000 คัน ตลอดทั้ง 4 เจนเนอเรชั่น โดยเลกซัสรุ่น LS460 เปิดตัวมาด้วยราคา 9.85 ล้านบาท และท็อป LS460L ที่มีทั้งแบบ 5 และ 4 ที่นั่งให้เลือก ด้วยราคา 11.68 และ 11.78 ล้านบาทตามลำดับ สำหรับเล็กซ์ซัส กรุงเทพ ได้ตั้งเป้ายอดขายสำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้โดยคาดว่าจะได้สัดส่วนจากเลกซัสรุ่น LS460 รวมมูลค่า 55 ล้านบาทโดยประมาณ และรวมเลกซัสทุกรุ่นที่จัดจำหน่ายทั้งหมด 335 คัน ด้วยมูลค่ารวมทั้งหมด 1,200 ล้านบาทโดยประมาณ ซึ่งหากได้ตามเป้าหมายถือว่าเติบโตกว่าเท่าตัวหรือสูงขึ้นถึง 127% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา การเปิดตัวโฉมใหม่ของ LS ในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นขุมพลังไฮคลาสสุดยอดยนตรกรรมที่คุ้มค่าแก่        การลงทุนและครอบครองที่สุดสำหรับเศรษฐีของเมืองไทย และนับว่าเป็นการเข้าโค้งสุดท้ายที่ดุเดือดสำหรับตลาดรถหรูช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีอีกด้วย งานนี้คู่แข่งตลาดรถหรูคงมีการเคลื่อนไหวที่เผ็ดร้อนเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งนี้อย่างแน่นอน” กรรมการผู้จัดการ เล็กซ์ซัส กรุงเทพ (พระราม 9) กล่าวปิดท้าย

 

รายละเอียดอื่นๆ

 

ครั้งแรกกับ Lexus Climate Concierge หรือ ระบบปรับอุณหภูมิอัจฉริยะแบบ Multi-Zone ที่ใช้เซ็นเซอร์กว่า 13 ตัว เพื่อวัดสภาพอากาศภายในห้องโดยสาร และกระจายความเย็นหรือความร้อนอย่างสม่ำเสมอทั่วห้องโดยสารตามความต้องการของผู้โดยสารแต่ละคน รวมทั้งปรับอุณหภูมิบริเวณเบาะนั่งและพวงมาลัยโดยอัตโนมัติ นอกจากนั้น ระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสาร ยังทำงานผสานกับ นาโน-อี(Nano-e) เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ด้วยคุณสมบัติพิเศษโดยการปล่อยประจุลบของน้ำออกมา เพื่อดักจับและทำลาย เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ภายในห้องโดยสาร ช่วยขจัดกลิ่นอับชื้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ ทำให้อากาศภายในห้องโดยสารสะอาด สดชื่นตลอดการเดินทาง

ภายในโดดเด่น ด้วย Advanced Illumination System (AIS) สะท้อนความหรูหราภายในด้วย Welcome Light LED สี Champagne White บริเวณคอนโซลหน้า ที่จะเรืองแสงต้อนรับเมื่อเข้าใกล้ตัวรถ พร้อมแผงหน้าปัดที่ง่ายต่อการควบคุมและการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ด้วยการแบ่งโซนอย่างเด่นชัด ทั้งโซนแสดงผล (Display Zone) ซึ่งประกอบไปด้วย LCD Multi-display ขนาดใหญ่ที่สุด 12.3 นิ้ว และโซนควบคุม (Operation Zone) ที่สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย ด้วย Remote Touch Interface (RTI) เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่สามารถควบคุมระบบการทำงานต่างๆ ในรถยนต์ได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส เสมือนการคลิกเมาส์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์

 

 

 

 

 

 

 

 

พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน เส้นผ่านศูนย์กลางยาว 380 มิลลิเมตร สั้นกว่าเดิมถึง 10 มิลลิเมตร ให้ประสิทธิภาพในการควบคุมที่ดียิ่งขึ้นพร้อมเติมอารมณ์สปอร์ต นอกจากนี้ แผงหน้าปัดที่มาพร้อมจอข้อมูลเรืองแสงออพ     ติตรอนขนาดใหญ่ และจอแสดงผลแบบ Thin Film Transistor Multi-information ขนาด 5.8 นิ้ว เป็นจอแสดงข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดารถยนต์เลกซัสทั้งหมด ช่วยให้การอ่านค่าทำได้สะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น เพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยสุดยอดเครื่องเสียงรอบทิศทางจาก Mark Levinson และระบบ Rear Seat Entertainment System ระบบบันเทิงเต็มรูปแบบหนึ่งเดียวที่มาพร้อม Blu-ray player พร้อมการออกแบบภายในที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ภายใต้แนวคิด Human-Centered Engineering ที่สามารถตอบสนองต่อการใช้งานของมนุษย์ได้มากที่สุด มั่นใจสูงสุดด้วยระบบความปลอดภัยเหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการรวมไดนามิกของตัวรถ

VDIM (Vehicle Dynamics Integrated Management) ที่ผสานการทำงานของระบบป้องกันการเกิดอุบัติเหตุให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะทำการควบคุมการทำงานของระบบกันสะเทือนแบบแปรผัน (Adaptive Variable Suspension) ระบบพวงมาลัยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (Electronic Power Steering) และอัตราทดเฟืองพวงมาลัยแบบแปรผัน (Variable Gear Ratio Steering) ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มสมรรถนะการควบคุมการทรงตัวของรถยนต์ทั้งในขณะขับเคลื่อนและเบรค รวมทั้งลดการเกิดอาการล้อหมุนฟรี ช่วยให้ทุกการเคลื่อนไหวของรถยนต์เป็นไปได้อย่างมั่นคงและปลอดภัยสูงสุด

ระบบ Pre-Crash Safety ที่มีเซนเซอร์ตรวจสอบความเป็นไปได้ที่จะเกิดการชน หากตรวจพบว่ามี    สิ่งกีดขวางอยู่บนถนนเบื้องหน้า ระบบจะส่งสัญญาณเตือนผ่านหน้าจอแสดงผลทันที ทำให้เข็มขัดนิรภัยแบบดึงรั้งกลับอัตโนมัติ (Pre-Crash Seatbelt) จะทำการดึงรั้งผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้าอัตโนมัติ ช่วยให้คนขับและผู้โดยสารแนบชิดกับเบาะและพนักพิง เพื่อป้องกันการกระแทกอย่างรุนแรงจากพวงมาลัยหรือถุงลมเสริมความปลอดภัยหรือคอนโซลหน้า

                       ระบบ Passive Safety ที่ให้การปกป้องอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS แบบคู่ (twin-chamber) สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า ถุงลมเสริมความปลอดภัยบริเวณหัวเข่าสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ถุงลมเสริมความปลอดภัยด้านข้างทั้งบริเวณที่นั่งตอนหน้าและหลัง และม่านถุงลมเสริมความปลอดภัยซึ่งจะช่วยลดอาการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในกรณีที่เกิดการชนจากด้านหลัง หมอนรองศีรษะสำหรับที่นั่งตอนหน้า แบบ active headrests จะทำงานทันทีที่ได้รับสัญญาณจากถุงลมเสริมความปลอดภัยเบาะหน้า เพื่อช่วยลดอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นบริเวณกระดูกต้นคอ  อีกทั้งยังมีถุงลมเสริมความปลอดภัยเบาะรองนั่ง ออตโตมาน ช่วยป้องกันการลื่นไถลของผู้โดยสาร เมื่อเกิดการชนจากด้านหน้า ปกป้องผู้โดยสารให้ปลอดภัยสูงสุดตลอดการเดินทาง