เคซีอี ยกเลิกขายหุ้นที่ซื้อคืนรักษาประโยชน์ผู้ถือหุ้น

0
204
image_pdfimage_printPrint

เคซีอี ยกเลิกขายหุ้นที่ซื้อคืนจำนวน 14 ล้านหุ้น เหตุสภาวะตลาดฯไม่อำนวย เกรงจะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ หันไปใช้วิธีลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของบริษัทฯ แทน

ส่าสุด เคซีอี เป็นหลักทรัพย์เดียว ที่ได้รับคัดเลือกเข้าเป็นหลักทรัพย์ใหม่ พร้อมกันทั้งใน ดัชนี SET100 และ ดัชนี SETHD ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2556 หลังเคซีอี ประกาศทุ่ม 4,675 ล้าน สร้างโรงงานใหม่ เพิ่มการผลิตอีกเท่าตัว รองรับออเดอร์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

นายบัญชา องค์โฆษิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์จํากัด (มหาชน) หรือ KCE ผู้ผลิตและส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ล่าสุดได้รับคัดเลือกเข้าเป็นหลักทรัพย์ใหม่สำหรับ ดัชนี SET100 และดัชนี  SET HD (SET High Dividend index) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม2556 ตามประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการขายหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัทฯ ว่า ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการที่กำหนดให้บริษัทฯ ขายหุ้นที่ซื้อคืนจำนวน 14 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 2.98 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยมีระยะเวลาการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนระหว่างวันที่ 11 – 19 มิถุนายน 2556 นั้น แต่เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว สภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวยในการสั่งซื้อขาย และอาจส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างไม่ปกติ ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เสียประโยชน์ บริษัทฯ จึงไม่สามารถที่จะขายหุ้นที่ซื้อคืนจำนวน 14 ล้านหุ้นได้ จึงอาศัยมติที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 เพื่อลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของบริษัทฯ โดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืนและยังจำหน่ายไม่ได้นั้นทั้งหมด

 

 

นอกจากนั้น นายบัญชา องค์โฆษิต ยังได้เปิดเผยว่าจากการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2556 ได้มีมติอนุมัติโครงการลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ มูลค่าประมาณ 4,675 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิต จำนวน 2 ล้านตารางฟุตต่อเดือน สำหรับรองรับปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ โดยโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง กรุงเทพฯ บนเนื้อที่ 19-3-71 ไร่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ และตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานปัจจุบัน

โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่นี้ แบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ (Phase) ต่อเนื่องกัน ได้แก่ ระยะที่ 1 (Phase I) มูลค่าลงทุนประมาณ 2,861 ล้านบาท มีระยะเวลาก่อสร้างโรงงานประมาณ 1 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มการผลิตได้ประมาณปลายปี 2557 โดยมีกำลังการผลิต 7 แสนตารางฟุตต่อเดือน, ระยะที่ 2 (Phase II) มูลค่าประมาณ 484 ล้านบาท ได้กำลังการผลิตเพิ่ม 6 แสนตารางฟุตต่อเดือน คาดว่าพร้อมดำเนินการผลิตในปลายปี 2558 และระยะที่ 3 (Phase III) มูลค่าประมาณ 1,330 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 7 แสนตารางฟุตต่อเดือน คาดว่าจะดำเนินการผลิตได้ประมาณปลายปี 2559

“โรงงานแห่งใหม่นี้จะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว จากปัจจุบันที่ผลิตได้1.8 ล้านตารางฟุตต่อเดือน ซึ่งจะรองรับความต้องการของลูกค้าที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเติบโตของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ โรงงานแห่งนี้ยังจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพราะการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและใช้ระบบอัตโนมัติ จะทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น ลดการพึ่งพาแรงงาน และมีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ” นายบัญชา กล่าว