กรณีข่าวมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สร้างอาคารรุกป่า

0
343
image_pdfimage_printPrint

ตามที่ สำนักข่าวอิศราได้นำเสนอข่าว เมื่อวันที่ ๑1 พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา 11.3๐ น. กรณี จี้อธิบดีกรมทรัพยากรชายฝั่งฯ สอบให้ชัด!ปม มทร.ศรีวิชัยตรัง สร้างอาคารรุกป่า โดยมีเนื้อหาข่าว คือ “สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org  รายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2560 นายสุพร ฤทธิภักดี ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย  ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลเเละชายฝั่ง ขอทราบผลการรังวัดทวนสอบแนวเขตพื้นที่มหาวิทยาลัยฯวิทยาเขตตรัง และขอความชัดเจนในการดำเนินคดีกรณีการก่อสร้างอาคารต่างๆของวิทยาเขตตรังที่ได้ก่อสร้างอาคารรุกล้ำหรือบุกรุกหรือพื้นที่นอกเขตที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้และบุกรุกป่าชายเลนซึ่งเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของกรมทรัพยากรชายฝั่งและทางทะเล” (รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย) นั้น

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ขอเรียนชี้แจงว่า

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ได้ขออนุญาต
ใช้พื้นที่ป่าไม้ ในการก่อสร้าง อาคาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง จ.ตรัง เมื่อปี พ.ศ. 2535 จากกรมป่าไม้ จำนวน 1,700 ไร่
ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2552 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ได้ทำการก่อสร้าง   อาคารเกินส่วนที่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ เข้าไปในพื้นที่ ป่าชายเลน จำนวน 21 ไร่ 3 งาน
59 ตารางวา อันเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ ดำเนินคดี
กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยวิทยาเขตตรัง ว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้
พ.ศ.2484 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ฐานยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรือทำกินในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่าหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสีย
แก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นคดีอาญาที่ 247/2552 ประจำวันข้อที่ 2
เวลา 20.30 นาฬิกา ของวันที่ 23 ธันวาคม 2552
ต่อมา สถานีตำรวจภูธรสิเกา จังหวัดตรัง ได้มีหนังสือ ที่ ตง 0529/1792 วันที่ 7 มิถุนายน 2553 เรียนอัยการจังหวัดตรัง ว่าคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาพร้อมทั้ง ส่งสำนวนให้

อัยการจังหวัดตรังพิจารณา ในเวลาต่อมา คดีเรื่องนี้ สำนักงานอัยการจังหวัดตรัง ได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง
นายประชีพ ชูพันธ์ กับพวกรวม 2 คน ตามข้อหาดังกล่าว เนื่องจากขาดเจตนา

2.1 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ทส 0406/1444
ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2556 ส่งเรื่องดังกล่าวให้อัยการสูงสุด ดำเนินการฟ้องคดีแพ่งกับนายประชีพ ชูพันธ์                รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยวิทยาเขตตรัง กับพวกรวม 6 คน             ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,591,131.18 บาท (สองล้านห้าแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดบาทสิบแปดสตางค์) ให้แก่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรณีกล่าวหาว่า การก่อสร้างโรงแรม               ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง มีการบุกรุกและทำลายป่าชายเลน อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติ บริเวณท้องที่ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เนื้อที่ 21-3-59 ไร่ ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 97

2.2 สำนักงานการยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ มีหนังสือ ที่ อส 0020/557 แจ้งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่า อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ปรากฏตามหนังสือกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ส่งเรื่องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดว่า ประสงค์จะฟ้องขับไล่บุคคลต่างๆ
รวม 6 คน ให้ออกจากพื้นที่ที่บุกรุก ซึ่งแม้จะแจ้งด้วยประสงค์จะให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่และเรียกค่าเสียหาย อันอาจถือได้ว่าเป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานกับหน่วยงาน ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กยพ.) ที่จะพิจารณาตัดสินชี้ขาดได้ก็ตาม แต่ กยพ. ไม่มีอำนาจที่จะตัดสินชี้ขาดบังคับถึงบุคคลภายนอกทั้ง 6 คน ที่กล่าวข้างต้นได้ ชอบที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะต้องใช้สิทธิทางศาล โดยฟ้องมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง และบุคคลทั้งหมดรวมในคดีเดียวกัน

2.3 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ทส 0406/2086 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2556 ส่งเรื่องดังกล่าวให้อัยการจังหวัดตรัง ดำเนินการฟ้องคดีแพ่งกับนายประชีพ ชูพันธ์ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง กับพวกรวม 6 คน ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,591,131.18 บาท (สองล้านห้าแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดบาทสิบแปดสตางค์) ให้แก่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งต่อไปด้วย

อย่างไรก็ตามคดีนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีหนังสือ ที่ ศธ 0592(3)1.9/4863 ลงวันที่
26 พฤศจิกายน 2558 เรื่อง ขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวเกี่ยวข้อง มาบังคับใช้เป็นการเฉพาะราย
ในการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (เพิ่มเติม) ณ ป่าคลองกะลาเส และป่าคลองไม้ตาย หมู่ที่ 3
ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดการศึกษา ถึงรองนายกรัฐมนตรี
(พลเอกประจิน จั่นตอง) โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลจังหวัดตรังแจ้งว่า บัดนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ในระหว่างการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

สำนักงานคดีแรงงานภาค 9 ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ อส 0038(9)/306 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ส่งสำนวนเอกสารคืนมายังกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อรอฟังผลมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวก่อน หากในที่สุดแล้วคณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการกับผู้ถูกกล่าวหา ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการจังหวัดตรังดำเนินคดีต่อไปภายในอายุความ ซึ่งคดีนี้มีกำหนดอายุความ 10 ปี
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2552 (ครบกำหนด
วันที่ 24 ธันวาคม 2562)

และเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและทันกำหนดอายุความ สำหรับคดีแพ่ง ในชั้นนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ทส 0406/2277 ลงวันที่
21 มิถุนายน 2560 ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด มอบหมายให้อัยการจังหวัดตรัง ยื่นฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยวิทยาเขตตรัง และผู้บุกรุกชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวน 2,591,131.18 บาท ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่าง อัยการจังหวัดตรัง พิจารณาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง

กรณีความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ จำนวน 64,209,000 บาท เป็นกรณี ดำเนินการของ สนง.คณะกรรมการอุดมศึกษา ในการเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ซึ่งเรียกร้องจาก เจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยวิทยาเขตตรัง
ในการนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้มอบหมายให้กลุ่มนิติการติดตามคดีอย่างใกล้ชิด

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะนำปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อนโยบายของรัฐและประโยชน์สาธารณะ ต่อไป