1

ไอบีเอ็มเปิดตัวสุดยอดซอฟต์แวร์ใหม่ IBM SmartCloud Foundation พร้อมระบบโมบิลิตี้และซีเคียวริตี้ ช่วยลูกค้าปรับปรุงธุรกิจไร้ขีดจำกัด

กรุงเทพฯ – 22 สิงหาคม 2555:  ไอบีเอ็มเปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่ที่ยกระดับความสามารถในการตรวจสอบ ควบคุม และการทำงานอัตโนมัติ ช่วยให้องค์กรต่างๆ จัดการและปรับใช้บริการคลาวด์ได้อย่างปลอดภัย  ในงาน Pulse Comes To You 2012 นำเสนอแนวทางใหม่แก่พันธมิตรและลูกค้าเกี่ยวกับการพัฒนาระบบคลาวด์ รวมทั้งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ SmartCloud Foundation พร้อมด้วยเทคโนโลยีโมบิลิตี้และระบบรักษาความปลอดภัย

ผลการศึกษาฉบับล่าสุดของสถาบันเพื่อมูลค่าทางธุรกิจของไอบีเอ็ม (IBM Institute for Business Value) ระบุว่า 90 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรมีแผนที่จะปรับใช้หรือกำลังปรับใช้รูปแบบคลาวด์อย่างกว้างขวางในช่วงสามปีข้างหน้า  ขณะที่องค์กรต่างๆ กำลังพัฒนาต่อยอดจากดาต้าเซ็นเตอร์แบบเวอร์ช่วลไลซ์และขยายสภาพแวดล้อมคลาวด์ ก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า “การแผ่ขยายของเวอร์ช่วลอิมเมจ” (virtual image sprawl)โดยทั่วไปแล้ว เวอร์ช่วลอิมเมจมีขนาดประมาณ 5-20 กิกะไบต์ และเมื่อคูณกับจำนวนเวอร์ช่วลอิมเมจหลายพันชุดที่สร้างขึ้นในปัจจุบัน ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่มีเวอร์ช่วลแมชชีน 5,000-20,000 เครื่อง ด้วยเหตุนี้ผู้จัดการฝ่ายไอทีจึงต้องแบกรับปัญหาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องปรับปรุงระดับการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย

นางเจษฎา ไกรสิงขร กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ๋ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “เวอร์ช่วลอิมเมจมีขนาดเพิ่มขึ้นสามเท่าทุกๆ สองปี แซงหน้าพลังประมวลผลที่เพิ่มขึ้นเพียงสองเท่าในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่งบประมาณด้านไอทีก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  นั่นหมายความว่าทุกๆ สองปี องค์กรจะต้องขยายโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ 1.5 เท่าเพื่อรองรับระบบคลาวด์ และจะต้องเพิ่มบุคลากรเป็นสองเท่าอีกด้วย  นับเป็นปัญหาในเรื่องค่าใช้จ่ายและการจัดการที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งสวนทางกับประโยชน์ที่เราพึงได้รับจากเทคโนโลยีคลาวด์”

โซลูชั่นใหม่ SmartCloud Foundation จากไอบีเอ็มช่วยให้องค์กรสามารถติดตั้ง จัดการ กำหนดค่า และสร้างระบบงานอัตโนมัติสำหรับการสร้างบริการคลาวด์ในสภาพแวดล้อมแบบส่วนตัว (Private), สาธารณะ (Public) หรือแบบผสมผสาน (Hybrid) โดยมอบระดับการควบคุมที่เหนือกว่าโซลูชั่นอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดก่อนหน้านี้  ผลิตภัณฑ์ใหม่เมื่อใช้งานร่วมกันจะช่วยให้ลูกค้าเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการ ลดความเสี่ยง และปรับปรุงขีดความสามารถในการควบคุมการปรับใช้บริการคลาวด์ควบคู่ไปกับระบบใช้งานจริงที่มีอยู่ภายในองค์กร

 

ไอบีเอ็มพัฒนาต่อยอดจากประสบการณ์การทำงานร่วมกับลูกค้า โดยได้เปิดตัวความสามารถใหม่ๆ ของ IBM SmartCloud Continuous Delivery ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ประกอบด้วยแบบแผนการทำงานที่ดีที่สุดสำหรับรองรับการจัดการวงจรการใช้งานของบริการคลาวด์ โดยผสานรวมโซลูชั่น Rational Collaborative Lifecycle Management เข้ากับ IBM SmartCloud Provisioning  รวมถึง IBM SmartCloud Monitoring โซลูชั่นที่มีความเชี่ยวชาญระดับชั้นนำเพื่อปรับปรุงขีดความสามารถในการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ช่วลและฟิสิคอล ทั้งในส่วนของทรัพยากรสตอเรจ เครือข่าย และเซิร์ฟเวอร์  ซอฟต์แวร์ดังกล่าวประกอบด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านธุรกิจและเทคนิค เพื่อรองรับการวางแผนกำลังความสามารถของระบบและการจัดสรรเวิร์กโหลด  ซอฟต์แวร์นี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตและคาดการณ์อนาคต จึงช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถป้องกันปัญหาบริการคลาวด์หยุดทำงาน ทั้งยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายในส่วนของไลเซนส์ซอฟต์แวร์ และค่าใช้จ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์

 

ลูกค้าที่ใช้ซอฟต์แวร์ SmartCloud Foundation จะได้รับประโยชน์มากมายอย่างเป็นรูปธรรม เช่น:

·   ลดระยะเวลาที่ใช้ในการเริ่มต้นให้บริการ จากเดิมที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน ตอนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น โดยอาศัยระบบงานอัตโนมัติแบบครบวงจร การกำหนดมาตรฐาน และความสามารถในการทำซ้ำได้

·   ลดค่าใช้จ่ายด้านทรัพยากร 20 เปอร์เซ็นต์ แต่สามารถคาดการณ์เกี่ยวกับการติดตั้งระบบได้แม่นยำมากขึ้น โดยอาศัยการบริการตนเองและแทบไม่ต้องใช้บุคลากรในการจัดการดูแล

·   เพิ่มความคล่องตัว 40 เปอร์เซ็นต์ ด้วยการดำเนินงานที่คล่องตัวมากขึ้น และการร่วมมือกันพัฒนาโดยอาศัยการติดต่อสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

·   เพิ่มประสิทธิภาพและความพร้อมใช้งานของบริการแอพพลิเคชั่นได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ด้วยการปรับปรุงความสอดคล้องในการพัฒนา ทดสอบ และใช้งาน

 

องค์กรต่างๆ มองว่าระบบคลาวด์คอมพิวติ้งคือหนทางที่จะช่วยปรับปรุงความรวดเร็วในการตอบสนองและประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านไอที และขณะเดียวกัน ขอบเขตของไอทีก็ขยายไปไกลเกินกว่าดาต้าเซ็นเตอร์ เครือข่าย และเวิร์กสเตชั่น ไปสู่อุปกรณ์พกพาที่รองรับการทำงานอัจฉริยะ  และลูกค้าก็ต้องการที่จะควบคุมระบบเวอร์ช่วลไลซ์แบบกระจัดกระจายนี้ในลักษณะเดียวกันกับรูปแบบไอทีแบบเดิมๆ

 

ก้าวเข้าสู่ยุคโมบายล์อย่างเต็มตัว

ขณะที่องค์กรต่างๆ หันมาใช้คอมพิวเตอร์แลปท็อปและมือถือเพิ่มมากขึ้น ก็มีปัจจัยสำคัญมากมายที่จะต้องพิจารณา เช่น สภาพแวดล้อมการทำงานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ผู้ใช้จำนวนมากต้องเปิดแลปท็อปทิ้งไว้ตลอดเวลา โดยที่ระบบไม่ได้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน  นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องการขโมยแลปท็อปก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญที่สุดซึ่งนำไปสู่ปัญหาข้อมูลองค์กรรั่วไหลในช่วงปี 2011 ไอบีเอ็มมีโซลูชั่นครบวงจรในการบริหารจัดการอุปกรณ์โมบายล์เหล่านี้ คือ

  1. การสร้างแอพลิเคชั่นและเชื่อมโยงแอพลิเคชั่นสำหรับมือถือ (Build and Connect Mobile Application)โดยการใช้ซอฟต์แวร์ เวิร์คไลท์ (Worklight) ในการสร้างแอพลิเคชั่นเพียวครั้งเดียวแต่สามารถทำงานได้ในหลาย OS เช่น Apple iOS, Google Android, Nokia Symbian, Microsoft Windows Mobile เวิร์คไลท์ เป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ด้านการสนับสนุนอุปกรณ์พกพาของไอบีเอ็ม ให้กับลูกค้าบนแพลทฟอร์มแบบเปิด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็ว ในการทำแอพลิเคชั่นบนมือถือที่มีอยู่แล้ว และแอพลิเคชั่นใหม่ได้บนอุปกรณ์หลากหลายประเภท และยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่อระหว่างแอพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเข้ากับระบบไอทีขององค์กร
  2. การจัดการและรักษาความปลอดภัยสำหรับมือถือ(Manage and Secure Mobile Device) โดยการใช้ซอฟต์แวร์ IBM Endpoint Manager for Mobile Devices สามารถจัดการกับปัญหาด้านความปลอดภัย ความซับซ้อน และนโยบายเกี่ยวกับการอนุญาตให้พนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้กับงาน (Bring Your Own Device – BYOD) นำไปสู่จำนวนพนักงานที่ทำงานนอกสำนักงาน ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ
  3. การเชื่อมโยงและปฎิรูปธุรกิจโดยการใช้มือถือ (Extend Existing Capabilities and Capitalize on New Business Opportunities) องค์กรสามารถเปลี่ยนวิธีการในการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า พนักงานและพันธมิตร ให้สอดคล้องกับความต้องการในการใช้อุปกรณ์พกพาของคนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไอบีเอ็มผสานรวมการจัดการอุปกรณ์เชื่อมต่อและระบบรักษาความปลอดภัยเข้าไว้ในโซลูชั่นเดียวด้วย Tivoli Endpoint Manager เพื่อให้ผู้จัดการฝ่ายไอทีสามารถตรวจสอบและจัดการอุปกรณ์เชื่อมต่อทั้งแบบฟิสิคอลและเวอร์ช่วลได้อย่างมีประสิทธิภาพ  องค์กรต่างๆ จะสามารถปกป้องและจัดการทรัพยากรไอทีได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถตรวจสอบ ควบคุม และสร้างระบบงานอัตโนมัติสำหรับงานไอทีที่ต้องใช้เวลานาน เช่น การจัดการแพตช์ และการจัดทำบัญชีทรัพยากร

การพัฒนาปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย

ในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2012 มีการโจมตีขั้นสูงเกิดขึ้น จนเป็นที่คาดการณ์ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้อาจแซงหน้าปี 2011 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกขนานนามว่าเป็น “ปีแห่งการละเมิดความปลอดภัย”  ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้หลายๆ องค์กรหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการรักษาความปลอดภัยกันมากขึ้น เพื่อรองรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

 

ระบบรักษาความปลอดภัยไม่สามารถคุ้มครององค์กรอย่างทั่วถึงด้วยมาตรการป้องกันภัยจากรอบนอกอีกต่อไป ทั้งนี้เพราะมีการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้ง สมาร์ทโฟน และอินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย จนส่งผลให้เทคนิคแบบเดิมๆ ไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป  อย่างไรก็ดี มีแนวทางใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัย ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะสามารถสร้างสมดุลของอำนาจให้กลับคืนมาอีกครั้ง และก่อให้เกิดประโยชน์แก่ลูกค้า แนวทางที่ว่านี้เรียกว่า Security Intelligence ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสได้อย่างมากเลยทีเดียว

 

“Security Intelligence เป็นการปรับใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงและเทคโนโลยีระบบงานอัตโนมัติสำหรับการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งที่มาหลายร้อยแหล่งทั่วทั้งองค์กร เช่น เครือข่าย แอพพลิเคชั่น กิจกรรมของผู้ใช้ อุปกรณ์พกพาที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย และอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย โดยมีการตรวจสอบองค์กรโดยรวมทั้งหมด เพื่อป้องกัน คาดการณ์ และตรวจจับภัยคุกคาม แทนที่จะใช้แนวทางแบบแยกเป็นส่วนๆ” นางเจษฎา กล่าว

 

ไอบีเอ็มได้พัฒนากลยุทธ์และแนวทางด้านเทคนิคสำหรับระบบอัจฉริยะด้านการรักษาความปลอดภัย (Security Intelligence) โดยมุ่งเน้นการวิจัยอย่างแข็งแกร่ง  ทั้งนี้ เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว ไอบีเอ็มได้เข้าซื้อกิจการของ Q1 Labs และทีมงานของบริษัทดังกล่าวมีบทบาทหลักในส่วนงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อ Security Systems โดยต่อยอดจากเทคโนโลยีของบริษัทด้านการรักษาความปลอดภัยกว่า 10 บริษัทที่ไอบีเอ็มได้เข้าซื้อกิจการในช่วงทศวรรษที่แล้ว รวมไปถึงบริษัทด้านระบบวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 25 บริษัท และบริษัทซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลความปลอดภัยที่มีชื่อว่า i2

 

เกี่ยวกับเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งของไอบีเอ็ม

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีคลาวด์จากไอบีเอ็มได้จาก http://www.ibm.com/smartcloud และติดตามเราบนทวิตเตอร์ได้ที่ @ibmcloud

เกี่ยวกับเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยของไอบีเอ็ม

ไอบีเอ็มนำเสนอโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยที่หลากหลายสำหรับอุปกรณ์พกพา ตั้งแต่การปกป้องข้อมูลบนอุปกรณ์ ไปจนถึงการรันโมบายล์แอพพลิเคชั่นอย่างปลอดภัยมากขึ้น  ไอบีเอ็มลงทุนในเทคโนโลยีโมบายล์มานานกว่าหนึ่งทศวรรษ ทั้งในลักษณะของการพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กรและการเข้าซื้อกิจการของบริษัทต่างๆ โดยไอบีเอ็มได้สร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์และบริการที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อนำเสนอระบบโมบิลิตี้ให้แก่ลูกค้าองค์กร  ดูข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยของไอบีเอ็มได้ที่: www.ibm.com/security