1

อิตัลไทยวิศวกรรมเผยยอดขายปี 61 ทะลุเป้า 52% โชว์ศักยภาพตลาด EEC พร้อมเดินหน้าปรับกลยุทธ์พัฒนาองค์กร

อิตัลไทยวิศวกรรมเดินหน้าปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เผยผลงานปี 2561 กวาดรายได้ กว่า 6,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาประมาณ 52% จากปีก่อนซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่าปีนี้จะสามารถรับรู้รายได้อยู่ที่ 6,070 ล้านบาท โชว์ศักยภาพพร้อมผลงานดีเด่นในตลาด EEC สร้างความเป็นผู้นำด้านวิศวกรรมในบทบาทธุรกิจ New S-Curve ที่ต่อยอดจากธุรกิจหลัก ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและเน้นพัฒนาภายในองค์กรเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้นำไปสู่ความสำเร็จ
นายสกล เหล่าสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด กล่าวว่า “ ในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานกว่า 6,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาประมาณ 52% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับปีนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายสำคัญในการขยายธุรกิจไปในตลาดใหม่ที่เป็น New S-Curve ซึ่งจะเป็นส่วนเพิ่มจากธุรกิจหลักที่กำลังดำเนินอยู่ อาทิ ระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Smart Solution งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลในโครงการคมนาคมและการขนส่ง งานก่อสร้างและระบบสาธารณูปโภคของโครงการ EEC งานก่อสร้างคลังสินค้าแบบอัตโนมัติ รวมถึงโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยคาดว่าใน ปี 2562 จะสามารถรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 6,070 ล้านบาท และปัจจุบันมีงานในมือแล้วกว่า 9,300 ล้านบาท”
บริษัทฯ ได้สร้างผลงานมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในทุกภาคส่วนจนเติบโตเป็นพันธมิตรกับบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ ปตท. เอสซีจี PEA MEA หรือ EGAT เพื่อเสริมศักยภาพและเพิ่มระดับความแข็งแกร่งขององค์กร ในปัจจุบันบริษัทฯ ได้เข้าไปบุกตลาด EEC เพื่อต่อยอดความสำเร็จขึ้นไปในอีกระดับ โดยเมื่อเร็วๆนี้ ได้ดำเนินการสำหรับเฟสแรกของโครงการพัฒนาวังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง (EECi) หนึ่งในโครงการของ EEC บนพื้นที่ 3,455 ไร่ ซึ่งเป็นโครงการจัดตั้งของบริษัท ปตท. ที่ได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างโปร่งใสด้วยวิธี การประมูล บริษัทฯ ได้รับผิดชอบในส่วนงานโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคทั้งหมด ทั้งระบบไฟฟ้า Smart City ในรูปแบบ Smart Natural Innovation Platform งาน Sub-station รวมถึงงานระบบภายในอาคาร ซึ่งมีมูลค่าของสัญญาจ้างประมาณ 1,000 ล้านบาท นับได้ว่าโครงการดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ธุรกิจของ บริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดด และยังเตรียมความพร้อมในรอบด้านสำหรับการขยายธุรกิจบนพื้นที่ของ EEC สำหรับเฟสต่อไปในอนาคตอีกด้วย
นายสกล กล่าวต่อว่า “บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจมาแล้ว 52 ปี ซึ่งเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในแวดวงธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมานาน ทำให้เรามีความเชี่ยวชาญเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทชั้นนำในระดับภูมิภาคอาเซียน เน้นพัฒนาภายในองค์กรเพื่อกระตุ้นและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้นำไปสู่ความสำเร็จ โดยมีปัจจัยคือ ระบบบริหารคุณภาพและมาตรฐานในการทำงาน บริษัทฯ ได้จัดทำระบบบริหารคุณภาพมาใช้และพัฒนาภายใต้นโยบายที่ว่า “มุ่งปฏิบัติตามพันธสัญญา ยกระดับระบบบริหารสู่เป้าหมายที่สูงขึ้น” ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ได้ผ่านการรับรอง ISO9001:2015 , ISO14001:2015 และล่าสุดได้ผ่านการรับรอง ISO45001:2018 ซึ่งเป็นระบบการจัดการสุขอนามัยและความปลอดภัยเพื่อใช้เป็นมาตรการป้องกันในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของการทำงานได้

บุคลากรทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถ บริษัทฯ ได้ให้ความใส่ใจในการพัฒนาบุคลากรในทุกภาคส่วน ให้มีศักยภาพและความเชี่ยวชาญในแต่ละสายงานที่พร้อมเข้าแข่งขันในตลาดใหม่ๆ ได้เต็มที่ โดยผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จัดตั้งสำนักงานอยู่ที่ประเทศพม่าและกัมพูชา เพื่อโชว์ศักยภาพและขยายธุรกิจไปยังตลาด CLMV ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีนโยบายว่าจ้างแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะใน CLMV อินเดีย หรือ จีน เข้ามาเสริมทัพความแข็งแกร่งในทุกสาขา ซึ่งตั้งเป้าการจ้างงานอยู่ที่ 5 % ใช้เครื่องมือในการทำงานด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงและมุ่งมั่นสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ในปัจจุบันบริษัทฯ ได้พัฒนาเครื่องมือในการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การออกแบบผ่านโปรแกรม BIM ในระบบ 3 มิติ หรือ การนำเอาระบบ office 365 (on cloud) มาใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารเพื่ออัพเกรดระดับองค์กรให้มีความทันสมัย รวมถึงปลูกฝังค่านิยมหลักในการทำงาน เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางความคิดให้เกิดมุมมองใหม่ที่หลากหลายในหลายๆ มิติ และการสร้างพลังให้เป็นหนึ่งในกลุ่มของบริษัทอิตัลไทย”
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้เรามีศักยภาพในการดึงดูดพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพเข้ามาร่วมงานกับเราได้ รวมถึงการเตรียมความพร้อมของบริษัทฯ ให้สามารถเดินไปข้างหน้าตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากการดำเนินธุรกิจหลักที่กำลังเติบโต นโยบายหนึ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสภาพสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ โดยปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานความปลอดภัยที่ใช้อยู่อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อแหล่งชุมชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บริเวณนั้นๆให้น้อยที่สุด โดยในทุกปี บริษัทฯ ได้วางแผนทำกิจกรรม CSR ในโครงการที่พัฒนาสังคม เช่น สร้างอาคารศูนย์การเรียนรู้ สร้างห้องสุขา หรือสนับสนุนทางด้านการศึกษาให้แก่เด็กๆ ในโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับธุรกิจของบริษัทที่ทำขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง